การบริหารจัดการข้อมูลสุขภาพเป็นหัวใจสำคัญในระบบโรงพยาบาลและวงการแพทย์ หลายคนคงเคยได้ยินเกี่ยวกับ HL7 ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพระหว่างระบบ แต่ทำไมต้องมี openEHR อีก? มันซับซ้อนไปหรือเปล่า? มาดูกันว่า openEHR มีบทบาทอย่างไร และทำไมถึงควรพิจารณา
HL7 vs. openEHR
- HL7 (Health Level 7)
- เป็นมาตรฐานที่เน้นการ แลกเปลี่ยนข้อมูล ระหว่างระบบ เช่น HIS, LIS, และ PACS
- HL7 ทำหน้าที่เหมือน “ภาษากลาง” ที่ช่วยให้ระบบต่าง ๆ คุยกันได้
- เน้นการส่งข้อมูลในรูปแบบ Message หรือ FHIR (Fast Healthcare Interoperability Resources)
- openEHR (Open Electronic Health Record)
- เป็นแพลตฟอร์มที่เน้นการ จัดเก็บและออกแบบข้อมูลสุขภาพ ในระยะยาว
- มีการกำหนด “คลินิคโมเดล” (Clinical Models) ซึ่งเป็นโครงสร้างข้อมูลที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ
- ช่วยให้ข้อมูลสุขภาพถูกจัดเก็บในรูปแบบที่ ไม่ผูกติดกับซอฟต์แวร์ ทำให้การโยกย้ายข้อมูลในอนาคตง่ายขึ้น
ทำไมต้องมี openEHR?
- ความยั่งยืนของข้อมูล: HL7 เหมาะสำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูล แต่ไม่ได้เน้นเรื่องการจัดเก็บข้อมูลสุขภาพระยะยาว openEHR ช่วยเติมเต็มช่องว่างนี้
- ปรับแต่งได้ตามความต้องการ: openEHR ให้โรงพยาบาลออกแบบโครงสร้างข้อมูลของตนเองได้ เช่น ข้อมูลผู้ป่วยโรคเฉพาะทาง
- ลดปัญหาข้อมูลกระจัดกระจาย: ด้วย openEHR ข้อมูลทุกอย่างจะถูกรวบรวมในระบบเดียว แม้ว่าจะใช้ซอฟต์แวร์จากผู้ผลิตต่าง ๆ
ซับซ้อนไปไหม?
ฟังดูซับซ้อน แต่จริง ๆ แล้ว openEHR ออกแบบมาเพื่อช่วยลดความซับซ้อนในระยะยาว เพราะข้อมูลสุขภาพจะไม่ถูกล็อกไว้กับซอฟต์แวร์ใดซอฟต์แวร์หนึ่ง โรงพยาบาลสามารถปรับตัวได้ง่ายเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงระบบหรือเทคโนโลยี
เทรนด์ในอนาคต
การผสาน HL7 FHIR และ openEHR จะกลายเป็นมาตรฐานในการจัดการข้อมูลสุขภาพที่สมบูรณ์แบบ HL7 ช่วยในเรื่องการแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบเรียลไทม์ ขณะที่ openEHR ดูแลเรื่องการจัดเก็บข้อมูลในระยะยาว โรงพยาบาลที่นำทั้งสองมาตรฐานมาใช้จะมีความสามารถในการบริหารข้อมูลสุขภาพได้อย่างครบวงจร พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล
สรุป
HL7 และ openEHR ไม่ใช่คู่แข่ง แต่เป็นพาร์ตเนอร์ที่ช่วยเสริมความสมบูรณ์ให้ระบบข้อมูลสุขภาพ โรงพยาบาลควรพิจารณาใช้ openEHR ควบคู่ไปกับ HL7 เพื่อให้การจัดการข้อมูลสุขภาพมีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งในแง่การแลกเปลี่ยนและการจัดเก็บข้อมูลในระยะยาว